วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ปลาเงินปลาทอง

4821408128 นางสาวสุมาลี เร่งดารา D.10
ปลาเงินปลาทอง










ประวัติปลาเงินปลาทอง

ทางประวัติศาสตร์เชื่อได้ว่าการเพาะพันธุ์ปลาทองมีมานานกว่าหนึ่งพันปีแล้ว หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึง คือ รูปวาดปลาทองซึ่งมีเกล็ดสีแดงที่ลำตัวจำนวนมากกำลังว่ายน้ำอยู่ในบ่อ อายุรูปภาพกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ปลาทองเป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ ไซไพร์นิดี้ (Family Cyprinidae) จัดเป็นปลาวงศ์ที่ใหญ่ที่สุด โดยมีปลาอยู่เกือบ 2,000 ชนิด ซึ่งปลาในวงศ์นี้มีปลาที่เราพอรู้จักคือ ปลาทอง ปลาไน และปลาตะเพียน

จากการศึกษาพบว่า ปลาเงินปลาทองเป็นปลาซึ่งเกิดจากการผ่าเหล่ามาจากปลาไน (Crucian carp) ปลาเงินปลาทองมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Carassius auratus linn. ประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ปลาทองได้สำเร็จคือ ประเทศจีน แต่ประเทศที่พัฒนาพันธุ์ปลาทองให้มีสีและลวดลายสวยงามคือประเทศญี่ปุ่น และเพียงเวลาไม่นานนัก ญี่ปุ่นก็ครองความเป็นจ้าวในการส่งออกปลาทองไปขายต่างประเทศ ผลที่ตามมาก็คือ ทำให้พันธุ์ปลาทองเป็นที่แพร่หลายและเป็นที่นิยมในหมู่นักเลี้ยงปลาในที่สุด

ปลาทองพันธุ์สามัญ (Common fish) เป็นปลาต้นสายพันธุ์ ลำตัวค่อนข้างยาวและแบนด้านข้าง หัวสั้นกว้างและไม่มีเกล็ด เป็นปลาที่อดทน กินอาหารง่ายและลูกดก สีสันคล้ายปลาไนมาก ในประเทศไทย สัณนิฐานได้ว่ามีผู้นำปลาเงินปลาทองเข้ามาเลี้ยงครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง โดยนำเข้ามาจากประเทศจีนเนื่องจากมีการค้าติดต่อกันในช่วงนั้น



ปลาเงินปลาทองที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทย

1. ปลาทองหัวสิงห์จีน (Chinese lionhead) จีนเป็นประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ปลาทองสายพันธุ์นี้ได้สำเร็จ และในประเทศไทยนิยมเรียกว่าปลาสิงห์จีน ลักษณะเด่นของปลาพันธุ์นี้ คือ มีส่วนหัวที่ใหญ่กว่าลำตัวมาก ส่วนวุ้นที่หัวมีมากและหนาแน่นกว่าสิงห์สายพันธุ์อื่น ในประเทศญี่ปุ่นได้แยกลักษณะวุ้นบนส่วนหัวของปลาคือ วุ้นมีขนาดเท่ากันเกือบทั้งหมดบนหัวเรียกว่า ชิชิงาชิระ (Shishigashira) วุ้นมีมากเฉพาะกลางหัวเรียกว่า โทกิง (Tokin) วุ้นมีทั้งบนหัวและที่ฝาเหงือกทั้งสองข้างเรียกว่า โอคาเหมะ (Okame) แต่โดยทั่วไปนิยมเรียกปลาที่มีวุ้นบนหัวว่า รันชู (Ranchu) ส่วนหลังของปลาลาดโค้งเพียงเล็กน้อยและไม่มีครีบบนหลัง หางจะหนาและใหญ่กว่าสิงห์พันธุ์อื่นๆ ปลาส่วนมากมีสีแดง และโตตามขนาดบ่อที่เลี้ยงได้ประมาณ 20-25 ชม.






2. ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น (Ranchu) เป็นปลาที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากสิงห์จีนโดยประเทศญี่ปุ่น หลังของปลาจะโค้งมากกว่าสิงห์จีน มีวุ้นอยู่บนส่วนหัว แก้ม เหนือริมฝีปาก และที่คาง หลังของปลาจะต้องโค้งจนคนในวงการปลาเปรียบเทียบไว้ว่า หลังโค้งไข่ผ่าซีก ครีบหางต่อกับลำตัวเป็นมุมแหลมเฉียงขึ้น 45 องศา ครีบทวารมีทั้งเดี่ยวและคู่ มีสีแดงและขาวสลับแดง





3. ปลาทองหัวสิงห์ลูกผสม (Hybrid lionhead) เป็นปลาที่พัฒนาสายพันธุ์ให้สวยขึ้นโดยประเทศไทย ซึ่งนำเอาจุดเด่นของปลาสิงห์จีนและญี่ปุ่นมารวมเข้าไว้ด้วยกัน เพราะปลาสิงห์ญี่ปุ่นเพาะพันธุ์ได้ค่อนข้างยาก และลูกปลาที่คัดแล้วมีความสวยงามเหมือนพ่อแม่ปลาจะมีน้อยมาก ทำให้ปลามีราคาสูง การนำปลาสิงห์จีนมาผสมข้ามพันธุ์กัน ทำให้ได้ลูกปลาที่ทรงสวยงามเพิ่มมากขึ้น สิงห์ลูกผสมจะมีวุ้นบนหัวน้อยกว่าสิงห์จีนเล็กน้อย แต่หลังจะโค้งมากกว่าจนเกือบใกล้เคียงสิงห์ญี่ปุ่น



4. ปลาทองสิงห์สยาม (Siamese lionhead) เป็นปลาที่พัฒนาสายพันธุ์ให้สวยขึ้นโดยประเทศไทย มีทรงและลักษณะเหมือนสิงห์ลูกผสม แต่มีสีทุกส่วนของลำตัวปลาเป็นสีดำทั้งหมด





5. ปลาทองสิงห์ตากลับ (Celestial goldfish) มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน เรียกว่า โซเตนกัน ญี่ปุ่นเรียกว่า เดเมรันชู ส่วนหัวของปลามีวุ้นเล็กน้อย ลำตัวและทรงคล้ายสิงห์จีน แต่มีลำตัวที่ยาวกว่าสิงห์จีนมาก มีสีแดงและขาวสลับแดง




6. ปลาทองสิงห์ตาลูกโป่ง (Bubble eyes goldfish) มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีนญี่ปุ่นเรียกว่า ซุอีโฮกัน ลำตัวและทรงคล้ายสิงห์จีน แต่ที่เบ้าตามีถุงน้ำขนาดใหญ่ดูคล้ายลูกโป่งติดอยู่ที่บริเวณใต้ตา ถุงน้ำใต้ตาปรกติจะโปร่งแสงและมีขนาดใกล้เคียงกัน ไม่มีครีบบนหลังปลา มีสีแดงและขาวแซมแดง





7. ปลาทองออรันดาหัววุ้น (Dutch lionhead) ญี่ปุ่นเป็นผู้เพาะพันธุ์ขึ้นมาใหม่ และเรียกว่า ออรันดาชิชิกาชิระ วุ้นบนส่วนหัวของปลาจะมีมาก และมองเห็นเป็นก้อนกลม มีครีบบนหลังปลา และครีบหางกางแผ่กว้างยาวกว่าปลาสิงห ์มีสีแดงและขาวสลับแดง




8. ปลาทองริวกิ้น (Ryukin) เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันแพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นปลาที่มีรูปทรงและสีสันสวยงาม มีสีแดง ขาวสลับแดง และหลายสี ซึ่งนิยมเรียกว่าปลาริวกิ้น 5 สี เวลาว่ายน้ำท่าทางสง่างาม ลำตัวอ้วนสั้นเกือบเป็นทรงกลมหน้าแหลม โหนกหลังสูง ส่วนหัวไม่มีวุ้น เกล็ดหนา




9. ปลาทองตาโปน (Telescope eyes goldfish) ญี่ปุ่นเรียกว่า เดเมคิน จีนนิยมเรียกว่า dragon eyes มีลักษณะเด่นคือมีลูกตายื่นออกไปด้านหน้าทั้งสองข้าง รูปทรงคล้ายปลาริวกิ้นมาก พันธุ์ที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยคือ ปลาทองตาโปนญี่ปุ่น มีสีแดงตลอดทั้งตัว ญี่ปุ่นเรียกว่า อะคาเดเมะคิน (akademekin) ปลาทองตาโปนห้าสีมีสีแดง ดำ ขาว ส้ม และฟ้า ผสมกันในปลาตัวเดียว ญี่ปุ่นเรียกว่า ซันโดกุเดเมะคิน ปลาทองตาโปนพันธุ์เล่ห์ มีสีดำสนิททั้งตัว ญี่ปุ่นเรียกว่า คุโรเดเมะคิน และสามารถแบ่งออกเป็นสายพันธุ์ย่อยได้อีกตามลักษณะทรงของลำตัวและหาง คือ ลักเล่ห์กระโปรง ลักเล่ห์ตุ๊กตา ลักเล่ห์ควาย และลักเล่ห์หลังอูฐ



10. ปลาทองเกล็ดแก้ว (Pearl scale goldfish) ประเทศไทยสามารถเพาะพันธุ์ปลาเกล็ดแก้วหน้าหนู ส่งไปขายทั่วโลก ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นปลาทองที่มีลักษณะแตกต่างจากปลาพันธุ์อื่นๆ มีทรงอ้วนกลมกว่าพันธุ์ริวกิ้น เกล็ดตามลำตัวปลาเกือบทั้งหมดหนาและแข็งโปนออกมาจากลำตัว มี 3 สายพันธุ์ได้แก่ เกล็ดแก้วหน้าหนู เกล็ดแก้วหัววุ้น เกล็ดแก้วหัวมงกุฎ

11. ปลาทองโคเมทหรือปลาทองหางซิว (Comet) เป็นปลาที่มีรูปทรงคล้ายปลาคร็าฟมากแต่มีหางที่ยาวกว่าปลาคร็าฟ ปลาพันธุ์นี้จะมีสีดังนี้คือ แดงทั้งตัว แดงสลับขาว และห้าสีในปลาตัวเดียวคือแดง ดำ ขาว ส้ม ฟ้า


วิธีเลือกซื้อปลาทอง

1. มีส่วนหัว ลำตัว และหางที่สมส่วนกัน เวลาว่ายน้ำส่วนหัวไม่ทิ่มลงพื้นหรือว่ายหงายท้อง
2. สีสันสดใส เกล็ดเรียงเป็นระเบียบสวยงาม
3. สุขภาพดี ดูได้จากการว่ายน้ำไปมาตามธรรมชาติ ไม่ปล่อยตัวลอยไปตามน้ำหรือลอยคอผิวน้ำเกือบตลอดเวลา
4. สำหรับปลาหัวสิงห์ หลังของปลาจะต้องโค้งสวย ไม่มีปุ่มบนหลังหรือหลังปลาบุ๋มลงไป
5. ครีบและหางของปลาไม่พันงอหรือขาด ครีบมีลักษณะเท่ากัน เวลาว่ายน้ำ ครีบเบ่งบานสวยงาม ไม่ลู่
6. รูปทรงของปลาต้องมีลักษณะด่นเฉพาะปลาแต่ละชนิด เช่น ถ้าซื้อปลาสิงห์ต้องไม่มีครีบบนหลัง
7. ซื้อปลาจากร้านที่ขายประจำถาวร ไม่ใช่แผงลอย ดังรายละเอียดในภาพ

วิธีเลี้ยงปลาทอง

น้ำที่ใช้เลี้ยงปลา น้ำถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงปลา เพราะปลาอาศัยอยู่ในน้ำ ถ้าสภาพน้ำไม่ดี มีเชื้อโรคมากเกินไป หรือมีสารเคมีต่างๆเจือปนอยู่ในน้ำ หรือน้ำสะอาดไม่เพียงพอ การเลี้ยงปลาก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
1. น้ำประปา ต้องรองใส่ภาชนะที่ไม่ปิดฝา ทิ้งไว้เกินกว่า 24 ชม. เพื่อให้สารคลอรีนที่มีอยู่ในน้ำระเหยไปให้หมด หรืออย่างน้อยต้องทิ้งไว้ 12 ชม. เป็นอย่างต่ำ ถ้าจำเป็นต้องรีบใช้น้ำในการเลี้ยงปลาหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำให้ปลา ควรรองน้ำใส่ภาชนะและใส่น้ำยากำจัดคลอรีนลงในภาชนะนั้นๆ และในกรณีใช้น้ำยาลดคลอรีนชนิดเข้มข้นควรทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที หรือ 1-2 ชม. สำหรับน้ำยาชนิดธรรมดาทั่วไป น้ำที่ใส่น้ำยานี้สามารถใช้เลี้ยงปลาได้
2. น้ำบาดาล ต้องใส่ยาฆ่าเชื้อโรคหรือใส่น้ำยาปรับสมดุลน้ำ ควรใส่ให้สีของน้ำออกสีน้ำเงินเล็กน้อย เมื่อน้ำเริ่มใสสามารถนำมาเลี้ยงปลาได้ ถ้าใช้น้ำบาดาลที่สูบขึ้นมาใหม่ควรตรวจดูอุณหภูมิของน้ำด้วย คือต้องไม่ร้อนหรือเย็นมากจนเกินไป
3. น้ำคลองหรือบ่อ ห้ามใช้สารส้มเพื่อทำให้น้ำใส ควรรองน้ำใส่ภาชนะทิ้งไว้ 2-3 วันเพื่อรอให้น้ำตกตะกอนเอง จึงสามารถตักส่วนบนที่ใสมาใช้เลี้ยงปลาได้ และควรใส่ยาฆ่าเชื้อโรคหรือใส่ยาปรับสมดุลน้ำเล็กน้อย
4. น้ำฝน ปัจจุบันเนื่องจากมลภาวะแวดล้อมเป็นพิษ น้ำฝนที่ตกลงมาจะมีสารเคมีเจือปน จึงไม่เหมาะแก่การเลี้ยงปลา และในน้ำฝนจะมีแต่ไฮโดรเจนไม่มีอ๊อกซิเจนเจือปนอยู่เลย แต่ที่ปลาสามารถอาศัยอยู่ได้เพราะผู้เลี้ยงได้ใช้เครื่องเพิ่มออกซิเจนให้ปลา ปลาจึงสามารถอยู่ได้แต่ปลาจะโตช้า หรือเลี้ยงแล้วแทบจะไม่โตเลย จะทำให้ปลาเป็นปลาแกรนในที่สุด


5. น้ำที่ผ่านเครื่องกรองน้ำ ควรเติมน้ำยาลดคลอรีน ถ้าใช้ชนิดเข้มข้นทิ้งไว้ 10-15 นาที ชนิดธรรมดาทิ้งไว้ 1-2 ชม. เหมือนกับใช้น้ำประปา แต่น้ำผ่านเครื่องกรองจะสะอาดและมีเชื้อโรคเจือปนอยู่ในน้ำน้อยกว่ามาก
6. น้ำกลั่น ไม่เหมาะแก่การเลี้ยงปลา เพราะจะไม่มีค่าสารละลายออกซิเจน (โอ ทู) ในน้ำเหลืออยู่เลย เนื่องจากโดนเครื่องกรองน้ำกรองออกจนหมด


อาหาร
อาหารที่เราให้ปลากินมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันคือ
1. อาหารสำเร็จรูป มีหลายชนิดคือ แบบเป็นเม็ด แบบเป็นแผ่น แบบเป็นก้อน แบบเป็นผง และมีหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ บางยี่ห้อสินค้าไม่มีคุณภาพ และมีหลายยี่ห้อที่โฆษณาเกินจริง ผู้เลี้ยงควรสอบถามและขอคำแนะนำในเรื่องการเลือกซื้ออาหารปลาจากร้านปลาที่ขายสินค้าเป็นประจำ (ไม่ใช่ร้านแผงลอยหรือตามตลาดนัดแนะนำ) ควรเลือกซื้ออาหารปลาตามขนาดของปลาที่เลี้ยงอยู่ และไม่ควรให้อาหารเหลือในน้ำ
2. อาหารสด มีดังนี้คือ ลูกน้ำ ไรน้ำจืด ไรทะเล ใส้เดือนน้ำ หนอนแดง ไม่ควรใส่อาหารสดทุกชนิดในตู้ปลามาก เพราะอาหารสดเป็นสัตว์ที่มีชีวิต จะแย่งออกซิเจนในตู้ ควรใส่น้อยๆ แต่ใส่บ่อยๆ และไม่ควรเอาอาหารสดที่ตายแล้วใส่ให้ปลากินเพราะจะทำให้ปลาถ่ายท้องได้

อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะกับการเลี้ยงปลาทองคือ 20-25 องศาเซลเซียส
ความหนาแน่นของปลาในตู้ ไม่ควรเลี้ยงปลาทองจำนวนมากในตู้ ควรเลี้ยงปลาให้พอเหมาะ ไม่แน่นจนเกินไป แสงแดด ควรเลี้ยงปลาทองให้ถูกแสงแดดบ้าง หรือถ้าเลี้ยงอยู่ในบ้าน ควรใช้หลอดไฟเทียมแสงอาทิตย์และเปิดไฟไว้ในเวลากลางวัน
อากาศ ถ้าน้ำที่ใช้เลี้ยงปลามีออกซิเจนเพียงพอต่อความต้องการของปลา จะช่วยให้ปลาสดชื่น แข็งแรง และโตเร็ว


ที่มา http://www.rachaplathong.com/eng/plathong_history.htm